เมนูนำทาง
สาธารณรัฐจีน (ค.ศ. 1912–1949) ประวัติศาสตร์ประวัติศาสตร์จีน ประวัติศาสตร์จีน | ||
---|---|---|
ยุคโบราณ | ||
สามราชาห้าจักรพรรดิ | ||
ราชวงศ์เซี่ย 2100–1600 BCE | ||
ราชวงศ์ชาง 1600–1046 BCE | ||
ราชวงศ์โจว 1045–256 BCE | ||
ราชวงศ์โจวตะวันตก 1046–771 BCE | ||
ราชวงศ์โจวตะวันออก 771–256 BCE ยุควสันตสารท ยุครณรัฐ | ||
ยุคจักรวรรดิ | ||
ราชวงศ์ฉิน 221 BCE–206 BCE | ||
ราชวงศ์ฮั่น 206 BCE–220 CE | ||
ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก | ||
ราชวงศ์ซิน | ||
ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก | ||
ยุคสามก๊ก 220–280 | ||
เว่ย สู่ และ หวู | ||
ราชวงศ์จิ้น 265–420 | ||
จิ้นตะวันตก | ยุคห้าเผ่าคนเถื่อนสิบหกแคว้น 304–439 | |
จิ้นตะวันออก | ||
ราชวงศ์เหนือ-ใต้ 420–589 | ||
ราชวงศ์สุย 581–618 | ||
ราชวงศ์ถัง 618–690, 705–907 | ||
ราชวงศ์อู่โจว 690–705 | ||
ยุคห้าวงศ์สิบรัฐ 907–960 | ราชวงศ์เหลียว 907–1125 | |
ราชวงศ์ซ่ง 960–1279 | ||
ราชวงศ์ซ่งเหนือ | เซี่ยตะวันตก | |
ราชวงศ์ซ่งใต้ | จิน | |
ราชวงศ์หยวน 1271–1368 | ||
ราชวงศ์หมิง 1368–1644 | ||
ราชวงศ์จินยุคหลัง 1616–1636 | ||
ราชวงศ์ชิง 1636–1912 | ||
ยุคใหม่ | ||
สาธารณรัฐจีน (บนแผ่นดินใหญ่) 1912–1949 | ||
สาธารณรัฐประชาชนจีน (จีนแผ่นดินใหญ่) 1949–ปัจจุบัน | สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) 1949–ปัจจุบัน | |
สาธารณรัฐได้รับการจัดตั้งอย่างเป็นทางการขึ้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1912 หลังการปฏิวัติซินไฮ่ ซึ่งเริ่มด้วยการเกิดการก่อการกำเริบอู่ชางในประเทศจีน ซึ่งนำไปสู่การโค่นล้มราชวงศ์ชิงและสิ้นสุดระบอบการปกครองโดยจักรพรรดินับห้าพันปีในประวัติศาสตร์จีน ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ก่อตั้งจนถึงปี ค.ศ. 1949 สาธารณรัฐจีนได้ดำรงอยู่กับจีนแผ่นดินใหญ่ อำนาจรัฐบาลกลางของสาธารณรัฐจีนได้สั่นคลอนในยุคขุนศึก (ค.ศ. 1915–28) ประกอบกับภาวะสงครามกับจักรวรรดิญี่ปุ่น (ค.ศ. 1927–37) เมื่อรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งได้ดำเนินนโยบายการรวบรวมประเทศจีนเป็นปึกแผ่นได้อย่างมั่นคงภายใต้ระบบพรรคเดียว[1] เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่สองได้ยุติลง จักรวรรดิญี่ปุ่นได้ยอมจำนนและได้คืนเกาะไต้หวันและหมู่เกาะข้างเคียงแก่ฝ่ายสัมพันธมิตร ฝ่ายสัมพันธมิตรได้พิจารณาให้เกาะไต้หวันได้กลับคืนมาภายใต้การปกครองของสาธารณรัฐจีน
เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ยึดครองประเทศจีนได้สำเร็จ หลังสงครามกลางเมืองจีนในปี ค.ศ. 1949 รัฐบาลสาธารณรัฐจีนได้ลี้ภัยไปยังเกาะไต้หวันและประกาศให้เมืองไทเป เป็นเมืองหลวงรัฐบาลพลัดถิ่น[2] ฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อยึดครองแผ่นดินใหญ่จีนก็ได้สถาปนา สาธารณรัฐประชาชนจีน ขึ้นที่กรุงปักกิ่ง และได้ดำเนินนโยบายจีนเดียว อ้างสิทธิ์และอำนาจเหนือดินแดนจีนทั้งหมด โดยมีการอ้างสิทธิ์ในการรวมเกาะไต้หวันมาเป็นส่วนหนึ่งของจีนแผ่นดินใหญ่ นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลคอมมิวนิสต์ที่ปักกิ่งและรัฐบาลก๊กมินตั๋งที่ไทเป
การปฏิวัติซินไฮ่เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1912 โดยการนำของ ดร.ซุน ยัตเซ็น ซึ่งเป็นการโค่นล้มอำนาจการปกครองของราชวงศ์ชิง สิ้นสุดการปกครองโดยจักรพรรดิของจีน จีนได้เปลี่ยนแปลงการปกครองสู่สาธารณรัฐ[3] เป็นผลทำให้จีนเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยในที่สุด
สาเหตุที่ก่อให้เกิดการโค่นล้มอำนาจครั้งนี้น่าจะมาจากความเสื่อมโทรมของสภาพสังคมจีน ชาวจีนอยู่ภายใต้การปกครองโดยราชวงศ์ชิง ชนกลุ่มน้อยเผ่าแมนจูซึ่งได้ให้อภิสิทธิ์แก่เฉพาะชาวแมนจูและกดขี่ชาวจีนฮั่น อีกทั้งราชวงศ์ชิงไม่มีอำนาจกำลังพอที่จะปกครองประเทศได้ ซึ่งตลอดระยะเวลาปกครอง 268 ปี (ค.ศ. 1644–1912) มีแต่การแย่งชิงอำนาจในหมู่ผู้นำราชวงศ์ ด้วยเหตุนี้ราษฎรส่วนมากจึงตกอยู่ในสภาพยากจน ชาวไร่ชาวนาถูกขูดรีดภาษีอย่างหนัก ถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าของที่ดิน ชาวต่างชาติเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ แผ่นดินจีนถูกคุกคามจากเหล่าประเทศลัทธิล่าอาณานิคม[4] โดยเฉพาะชาติมหาอำนาจตะวันตก และญี่ปุ่น จีนได้ทำสงครามต่อต้านการรุกรานของกองกำลังต่างชาติเป็นฝ่ายแพ้มาโดยตลอด ทำให้ราษฎรหมดความเชื่อถือต่อราชวงศ์ชิงเป็นอย่างมากนำไปสู่การต่อต้านระบอบการปกครองของราชวงศ์แมนจู
แนวความคิดต่อต้านราชวงศ์ชิงเริ่มมาจากการที่ราชวงศ์ชิงได้ทำสงครามฝิ่นกับอังกฤษ โดยสงครามฝิ่นครั้งที่หนึ่ง ทำให้จีนต้องสูญเสียเกาะฮ่องกงและลงนามสนธิสัญญานานกิง ผลกระทบของสนธิสัญญานานกิงที่จีนจำต้องลงนามเมื่อพ่ายแพ้สงครามฝิ่นครั้งแรก ในด้านสังคมที่ร้ายแรงที่สุด คือ อังกฤษบังคับให้จีนยอมรับว่าการค้าฝิ่นเป็นเรื่องถูกกฎหมาย โดยถือว่าเป็นยารักษาโรคและทำได้โดยเสรี ทำให้สังคมจีนอยู่ในสภาพอ่อนแอ เพราะประชากรจำนวนมากอยู่ในสภาพติดยาเสพติด บ้านเมืองตกอยู่สภาพจลาจลในวุ่นวาย แม้ราชวงศ์ชิงจะพยายามแก้ปัญหาการเสพติดฝิ่นของประชาชน แต่เมื่อจีนได้ทำสงครามฝิ่นครั้งที่สองและเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อีกครั้งทำให้จีนต้องทำสนธิสัญญาเทียนจินซึ่งทำให้จีนสูญเสียผลประโยชน์มากขึ้นไปอีก
กบฎนักมวยเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1900 กองโจรนักมวยได้บุกเข้าโจมตีฐานที่มั่นของพันธมิตรแปดชาติ ราชวงศ์ชิงนำโดยซูสีไทเฮาได้สนับสนุนการกบฎดังกล่าว แต่ก็ได้พ่ายแพ้ให้กับกลุ่มพันธมิตรแปดชาติ ทำให้จีนถูกบังคับให้ลงนามพิธีสารนักมวย และต้องจ่ายค่าชดใช้สงครามจำนวนมหาศาล[5] ทำให้ชาวจีนอัปยศอดสูเป็นอย่างมาก
ในขณะที่ราชวงศ์ชิงกำลังอ่อนแอจากปัญหารุมเร้าทั้งภายในประเทศและจากนอกประเทศ ชาวตะวันตกและญี่ปุ่นดูถูกชาวจีนโดยการขนานนามว่า ขี้โรคแห่งเอเชีย ทำให้ชาวจีนบางส่วนมีแนวความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไปสู่ประชาธิปไตยและนำไปสู่ขบวนการถงเหมิงฮุ่ยต่อต้านราชวงศ์ชิง นำโดย ดร.ซุน ยัตเซ็น
การจัดตั้งสาธารณรัฐจีนพัฒนามาจากการก่อการกำเริบอู่ชางโดยได้เริ่มลุกฮือต่อต้านราชวงศ์ชิง เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1911 ต่อมาการลุกฮือได้พัฒนามาเป็นการปฏิวัติซินไฮ่ การปฏิวัติสิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของขบวนการถงเหมิงฮุ่ย ราชสำนักชิงโดยมี ไจ้เฟิง องค์ชายฉุน และ พระพันปีหลงยฺวี่ เป็นผู้สำเร็จราชการ ยอมสละอำนาจโดยประทับตราพระราชสัญจักร คืนอำนาจให้ประชาชน หลังจากการยอมสละอำนาจของราชสำนักชิงแล้ว ชาวจีนทั่วประเทศและชาวจีนโพ้นทะเลได้มีการเฉลิมฉลอง วันแห่งการลุกฮือ วันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1911 ที่เป็นที่รู้จักกันใน "วันสองสิบ" ซี่งวันดังกล่าวนี้เองในปัจจุบันได้เป็นวันชาติสาธารณรัฐจีน เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม ค.ศ. 1911 ซุน ยัตเซ็น ได้ถูกเลือกเป็นประธานาธิบดี โดยการประชุมที่นานกิงโดยมีตัวแทนจากทุกมณฑลของจีน ซุนได้แถลงกาณ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการ และให้สัตย์คำมั่นสัญญาว่า จะรวมสาธารณรัฐจีนให้มั่นคงและวางแผนเพื่อความเป็นอยู่ของประชาชน
ซุนได้ตระหนักถึงการขาดแคลนการสนับสนุนทางด้านการทหาร ซึ่งผู้นำกองทัพเป่ยหยาง นายพลยฺเหวียน ชื่อไข่ได้เสนอให้การสนับสนุนแต่ต้องแลกกับกับการที่เขาจะได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดี ซุน ยัตเซ็นจึงได้มอบอำนาจตำแหน่งประธานาธิบดีให้แก่ ยฺเหวียน ชื่อไข่ ผู้ซึ่งต่อมาได้บีบบังคับให้จักรพรรดิผู่อี๋ จักรพรรดิราชวงศ์ชิงองค์สุดท้ายสละราชสมบัติ นายพลยฺเหวียนได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีต่อในปี ค.ศ. 1913[4][6]
ยฺเหวียน ชื่อไข่ได้อำนาจปกครองประเทศและมีอำนาจด้านการทหารอยู่ในกำมือ เขากลับแสดงตนเป็นเผด็จการและละเลยต่อหลักการของสาธารณรัฐที่ก่อตั้งโดยเจตนารมณ์ของ ดร. ซุน ยัตเซ็น ยฺเหวียนได้คุกคามขู่เข็ญประหารชีวิตสมาชิกรัฐสภาผู้ไม่เห็นด้วยกับเขาและได้ยุบพรรคก๊กมินตั๋ง มีการล้มล้างรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐ การเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยที่ถูกคาดหวังไว้ในปี ค.ศ. 1912 ถูกยุติลงด้วยการลอบสังหารผู้ลงสมัครเลือกตั้งโดยคนของยฺเหวียน ชื่อไข่
ยฺเหวียน ชื่อไข่หลังจากได้ทำลายหลักการประชาธิปไตยแล้วได้ทะเยอทะยานที่ต้องการขึ้นเป็นฮ่องเต้ โดยได้รื้อฟื้นระบอบจักรพรรดิหรือฮ่องเต้ขึ้นมาอีกครั้ง จนในที่สุดยฺเหวียนได้ปราบดาภิเษกตั้งตนเป็นฮ่องเต้หรือ "จักรพรรดิหงเซียน (洪憲皇帝)" และสถาปนาเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น จักรวรรดิจีน ขึ้นในปี ค.ศ. 1915[7] เท่ากับเป็นการทรยศและขัดต่อหลักการลัทธิไตรราษฎรของดร.ซุน และสาธารณรัฐจีน ทำให้แผ่นดินเกิดความวุ่นวายอีกครั้ง เกิดการลุกฮือขึ้นต่อต้านฮ่องเต้หงเซียนทั่วประเทศเกิดสงครามพิทักษ์ชาติขึ้นโดยกลุ่มทหารที่ไม่เห็นด้วยกับการรื้อฟื้นระบอบฮ่องเต้กลับมา จักรวรรดิจีนของยฺเหวียน ชื่อไข่ดำรงอยู่ได้เพียง 1 ปี ใน ค.ศ. 1916 ยฺเหวียน ชื่อไข่ได้เสียชีวิตด้วยวัยชราและระบอบจักรพรรดิที่เขารื้อฟื้นก็สิ้นสุดลง[8][9]
หลังจากการตายของฮ่องเต้ยฺเหวียน ชื่อไข่ บรรดาแว่นแคว้นจังหวัดต่าง ๆ ได้ประกาศตั้งตนเป็นอิสระไม่ขึ้นกับรัฐบาลกลางอีกต่อไปทำให้ประเทศจีนเข้าสู่ยุคแห่งความแตกแยกหรือยุคที่เรียกว่า ยุคขุนศึก
หลังจากนั้นประเทศจีนก็ได้เข้าสู่ยุคขุนศึก ประชาชนอยู่อย่างยากลำบากเกิดสงครามการสู้รบขึ้นทุกหย่อมหญ้าทั่วทั้งประเทศ อดีตกลุ่มทหารของยฺเหวียน ชื่อไข่ได้เริ่มแตกแยกกัน โดยกลุ่มกองทัพเป่ยหยางที่เข้มแข็งที่สุดได้ตั้ง รัฐบาลเป่ยหยาง ที่กรุงปักกิ่งสืบอำนาจเป็นรัฐบาลต่อไป รัฐบาลเป่ยหยางนั้นถือว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยจอมปลอมที่มีประธานาธิบดีที่ถูกแต่งตั้งเป็นเพียงหุ่นเชิดให้แก่กองทัพเท่านั้น ทำให้ชาวจีนเริ่มลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาลเป่ยหยางขึ้น สถานการณ์ที่วุ่นวายได้ทำให้ ดร.ซุน ยัตเซ็นได้ถูกบีบบังคับให้ต้องลี้ภัยกลับไปที่เมืองกวางตุ้งในภาคใต้อีกครั้งด้วยความช่วยเหลือของกลุ่มขุนศึกที่สนับสนุนประชาธิปไตย ในปี ค.ศ. 1917 และ ค.ศ. 1922 ดร.ซุนได้ตั้งรัฐบาลกู้ชาติเป็นรัฐบาลคู่แข่งในภาคใต้ขึ้นโดยใช้เมืองกวางตุ้งเป็นฐานที่มั่นหวังจะกอบกู้ประเทศจีนให้เป็นประชาธิปไตยเพื่อปวงชนอีกครั้ง
ดร.ซุนได้ฟื้นฟูพรรคก๊กมินตั๋งอีกครั้งในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1919 ทั้งนี้ดร.ซุนมิได้หมดหวังท้อแท้เขายังได้มีความหวังที่จะรวมประเทศจีนอีกครั้ง โดยมี เจียง ไคเชก ลูกศิษย์ผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของเขาได้กรีฑาทัพรวมชาติขึ้นเหนือเพื่อล้มล้างรัฐบาลเป่ยหยางที่ปักกิ่งในตอนเหนือหรือการกรีฑาทัพขึ้นเหนือ อย่างไรก็ตาม ดร.ซุนกลับขาดแคลนการสนับสนุนด้านการทหารที่เพียงพอและมีงบประมาณที่จำกัด ในขณะเดียวกันรัฐบาลเป่ยหยางได้พยายามต่อสู้ดิ้นรนที่จะยื้อเวลาอยู่ในอำนาจต่อไป
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่งที่ได้ปะทุขึ้น ประเทศจีนได้ถูกบรรดาชาติตะวันตกและจักรวรรดิญี่ปุ่นบีบบังคับให้เข้าร่วมฝ่ายสัมพันธมิตรและประกาศสงครามกับเยอรมนี รัฐบาลเป่ยหยางยอมปฏิบัติตามโดยไม่มีเงื่อนไข มีการยึดทรัพย์จับเชลยชาวเยอรมันในจีนและได้ส่งอาหาร, แรงงานไปช่วยฝ่ายสัมพันธมิตรในการรบ แต่ในปี ค.ศ. 1919 เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งยุติลง ถึงแม้จีนจะอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตรตามหลักมีสิทธิ์เป็นผู้ชนะสงคราม แต่หลังสงครามสิ้นสุดลงประเทศจีนกลับเป็นฝ่ายถูกเอารัดเอาเปรียบ สนธิสัญญาแวร์ซายได้ปล่อยให้สัมปทานของเยอรมนีในมณฑลชานตงของจีนต้องถูกโอนให้แก่ญี่ปุ่นแทนที่จะถูกโอนกลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของจีน
อีกทั้งญี่ปุ่นยังได้พยายามรื้อฟื้นประเด็นข้อเรียกร้อง 21 ประการเพื่อขูดรีดผลประโยชน์จากจีนอีกครั้ง ประกอบกับบรรดาประเทศตะวันตกและญี่ปุ่นไม่ยอมแก้ไขยอมให้สิทธิสภาพนอกอาณาเขตคืนแก่จีน จนทำให้ชาวจีนโกรธแค้นเป็นอย่างมากทำให้เกิดการประท้วงของนักศึกษาต่อต้านรัฐบาลที่ยอมอ่อนข้อเพิกเฉยต่อสนธิสัญญาแวร์ซายโดยกลุ่มปัญญาชน นำไปสู่การเดินขบวนเรียกร้องความเป็นธรรมหรือเป็นที่รู้จักกันในเหตุการณ์ ขบวนการ 4 พฤษภาคม
การเดินขบวนเคลื่อนไหวในครั้งนี้เกิดการรับเอาอิทธิพลแนวคิดลัทธิมากซ์มาเผยแพร่ทำให้รากฐานของแนวความคิดลัทธิคอมมิวนิสต์ได้เริ่มถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกอย่างแพร่หลายในหมู่ปัญญาชนและนักศึกษา จนท้ายที่สุดได้นำไปสู่การก่อตัวของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในภายภาคหน้า[10]
หลังดร.ซุนได้ตั้งรัฐบาลในภาคใต้ขึ้น เขาได้ตัดสินใจขอความช่วยเหลือทางด้านการทหารและงบประมาณส่วนหนึ่งจากสหภาพโซเวียตและก่อตั้งโรงเรียนทหารหวังผู่ ซึ่งเป็นโรงเรียนทหารแห่งแรกขึ้น แต่การสนับสนุนของโซเวียตกลับต้องแลกเปลี่ยนกับการให้โซเวียตก่อตั้งและสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีต้นกำเนิดจากขบวนการเคลื่อนไหว 4 พฤษภาคม ที่เริ่มรวมตัวเป็นรูปเป็นร่างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1919 พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ก่อตั้งสำเร็จในปี ค.ศ. 1921 ซึ่งได้รับความนิยมพอ ๆ กับพรรคก๊กมินตั๋ง ในระยะแรก ๆ ทั้ง 2 พรรคได้ตกลงที่จะร่วมมือกันฟื้นฟูและสร้างชาติจีนขึ้นมาโดยยึดหลักการรวมประเทศจีนและความผาสุขของประชาชน
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1925 ดร.ซุน ยัตเซ็น บิดาแห่งสาธารณรัฐจีนได้เสียชีวิตลง ได้ทิ้งหลักลัทธิไตรราษฎร์ เอาไว้เป็นปรัชญาทางการเมืองที่กล่าวถึงชาติใน 3 ด้าน
เจียง ไคเชก ได้ดำรงตำแหน่งสืบทอดเป็นผู้นำพรรคก๊กมินตั๋งต่อเพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของ ดร.ซุน เจียง ไคเชกได้นำทัพกรีฑาขึ้นเหนือจนสำเร็จ ในปี ค.ศ. 1926 ถึง ปี ค.ศ. 1928 เจียงได้ล้มรัฐบาลเป่ยหยางเดินหน้าปราบกลุ่มขุนศึกจนราบคาบ เขาได้ตั้งรัฐบาลที่เมืองนานกิง ประกาศตั้งรัฐบาลชาตินิยมแห่งสาธารณรัฐจีนขึ้น
จักรวรรดิญี่ปุ่นพยายามขยายอิทธิพลเข้ารุกรานแผ่นดินจีนมาโดยตลอด ทั้งนี้เพื่อบรรลุเป้าที่จะหาประโยชน์สูงสุดจากแผ่นดินจีน จนกระทั่งวันที่ 18 กันยายน 1931 นั่นคือวันที่ญี่ปุ่นได้สร้างสถานการณ์ “เหตุการณ์บึงหลิ่วเถียว” (柳条湖事变)ในการโจมตีเมืองเสิ่นหยางใกล้บึงหลิ่วเถียวของจีน ซึ่งในเวลาเดียวกันนั้น ญี่ปุ่นพยายามหาข้ออ้างในการเข้าบุกยึดแมนจูเรียและโจมตีภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนมาโดยตลอด จึงจงใจจุดชนวนศึกสงครามขึ้น
โดยในวันที่ 18 กันยายนปีนั้น เกิดระเบิดขึ้นที่ทางรถไฟสายแมนจูเรียใต้ของญี่ปุ่น แต่มีความเสียหายน้อยมากจนไม่กระเทือนการให้บริการปกติ ทว่าทหารญี่ปุ่นกลับอ้างว่า ทหารจีนยิงใส่พวกตนจากท้องนา จึงจำเป็นต้อง “ป้องกันตนเอง” เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นที่จักกันในกรณีมุกเดน ต่อมาญี่ปุ่นจึงเปิดฉากยิงใส่ทหารจีนทันทีและถือโอกาสเข้ารุกรานประเทศจีนโดยเริ่มการรุกรานแมนจูเรีย
ในเวลานั้น รัฐบาลก๊กมินตั๋งอยู่ในช่วงรวบรวมกำลัง เพื่อสู้รบกับคอมมิวนิสต์ที่ลุกขึ้นต่อต้านในประเทศ จึงได้มีคำสั่งห้ามต่อต้าน ให้พยายามแก้ไขด้วยวิธีการทางการทูต และให้ถอนกำลังไปที่ด่านซันไห่กวน ทำให้ทหารญี่ปุ่นบุกยึดเสิ่นหยาง แล้วบุกยึดต่อไปที่จี๋หลิน เฮยหลงเจียง จนกระทั่งสามารถยึด 3 มณฑลทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีนได้ในเดือนมกราคม 1932
ในเดือนถัดมาญี่ปุ่นได้สร้างรัฐใหม่ขึ้นบนแผ่นดินแมนจูเรีย โดยมีญี่ปุ่นคอยเชิดอยู่เบื้องหลัง ตั้งชื่อว่า ประเทศแมนจูกัว (满洲国) มีฉางชุนเป็นเมืองหลวง แล้วนำจักรพรรดิผู่อี๋ (ปูยี) ฮ่องเต้ราชวงศ์ชิงองค์สุดท้ายที่ถูกปฏิวัติในปี ค.ค. 1911 ซึ่งมีอายุ 25 พรรษในขณะนั้นมาเป็นฮ่องเต้หุ่นเชิดที่ได้ปกครองแต่ในนาม จากนั้นญี่ปุ่นก็ใช้อำนาจในการขูดรีดประชาชน ทำลายวัฒนธรรม ทำให้ชาวจีนกว่า 30 ล้านคนต้องทนทุกข์ทรมาน
เหตุร้าย 18 กันยายนได้กลายเป็นชนวนความแค้นของจีนทั่วประเทศ จนมีการเรียกร้องให้ต่อต้านญี่ปุ่น และถึงขั้นประท้วงรัฐบาลก๊กมินตั๋งที่ไม่ยอมต่อกรกับญี่ปุ่น จนกระทั่งประชาชนจีนทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีนต่างเริ่มลุกฮือขึ้นต่อต้านญี่ปุ่น เมื่อถึงปี 1937 การรวมตัวก็กระจายกว้างออกไป จนสามารถยืดหยัดสู้รบกับทัพญี่ปุ่นได้อย่างยาวนาน
เรื่องราวในวันที่ 18 กันยายน เป็นหนึ่งในแผนการที่ญี่ปุ่นได้วางไว้นานแล้ว เห็นได้จากเมื่อปี 1927 ที่ญี่ปุ่นได้ประชุมที่โตเกียว แล้วกำหนด “โครงสร้างนโยบายต่อจีน” ออกมา จากนั้นก็ได้แจ้งต่อจักรพรรดิ พร้อมประกาศว่า หากต้องการยึดครองจีน จะต้องสยบแผ่นดินแมนจูเรียก่อน และหากจะพิชิตโลก ก็จะต้องสยบจีนให้ได้ก่อน สงครามครั้งนี้ได้บานปลายจนกลายเป็นสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สองในที่สุด
2 กันยายน ค.ศ. 1945 หลังการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ ญี่ปุ่นยอมจำนนแบบไม่มีเงื่อนไข อเมริกาเข้ายึดครองญี่ปุ่นและหมู่เกาะต่าง ๆ ที่ญี่ปุ่นตั้งฐานทัพอยู่ รวมถึงเกาะไต้หวันด้วย ส่วนโซเวียตรัสเซียเข้าตีแมนจูเรียและเกาหลีตอนเหนือขับไล่ญี่ปุ่นกลับประเทศตนไป ประเทศจีนได้เข้าร่วมฝ่ายสัมพันธมิตรได้เป็นส่วนหนึ่งในประเทศผู้ชนะสงครามเหนือญี่ปุ่น มีศักดิ์ศรีเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจ แต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศจีนเสียหายย่อยยับ ผู้คนทุกข์ยาก อดอยาก ขาดซึ่งปัจจัยสี่ ประกอบกับตลอดระยะ 10 กว่าปีที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนดำเนินการเผยแพร่อุดมการณ์ ทั้งแบบใต้ดินบนดิน ทำให้มีประชาชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก เพราะอุดมการณ์แบบสังคมนิยมนั้นดึงดูดคนยากคนจนเป็นพิเศษ เวลานี้กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (人民解放軍) ก็พร้อมแล้วสำหรับสงครามปลดปล่อยประชาชนจากระบบ นายทุน ขุนศึก ศักดินา
ส่วนรัฐบาลก๊กมินตั๋งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลหมดเนื้อหมดตัวเพราะใช้เงินไปกับสงครามโลกจำนวนมาก ซ้ำด้วยปัญหาการคอรัปชั่นในวงราชการอย่างกว้างขวางทำให้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน อีกทั้งทหารก๊กมินตั๋งก็เหนื่อยล้าจากการรบที่ต่อเนื่องยาวนานทำให้ทหารไร้ระเบียบวินัยทั้งยังขาดแคลนยุทธปัจจัย ขวัญกำลังใจตกต่ำ เทียบไม่ได้เลยกับกองทัพปลดแอกประชาชนจีนที่มีขวัญกำลังใจเปี่ยมล้น เพียบพร้อมทั้งกำลังพลและยุทธปัจจัยเพราะได้รับการสนับสนุนจากประชาชน ปี ค.ศ. 1947 อเมริกาพยายามเป็นตัวกลาง ให้ทั้งสองพรรคเจรจากันอย่างสันติ แต่อเมริกาก็ต้องถอนทหารออกไปเพราะเดิมทหารอเมริกันนั้นเพียงแค่มาช่วยก๊กมินตั๋งรบกับญี่ปุ่น อีกทั้งไม่มีกำลังพลมากพอที่จะยับยั้งไม่ให้ทั้งสองพรรคทำสงครามกัน จึงเกิดเป็นสงครามกลางเมืองจีนอีกเป็นครั้งที่สอง
หลังจากนั้นในปี 1949 พรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้ายึดเมืองสำคัญ ๆ ของจีนได้โดยแทบจะไม่มีการต่อต้าน สงครามกลางเมืองได้สิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของพรรคก๊กมินตั๋งของเจียง ไคเช็กต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนของเหมา เจ๋อตุง พรรคก๊กมินตั๋งจึงได้หนีไปเกาะไต้หวัน เมื่อเป็นดังนี้ ในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ.1949 เจียง ไคเชก จึงนำพลพรรคก๊กมินตั๋งพร้อมทั้งสมบัติมีค่า เช่น วัตถุโบราณจากวังต้องห้าม ทองคำในธนาคาร ตลอดจนทรัพย์สินต่าง ๆ เหล่าพ่อค้าประชาชนที่กลัวภัยคอมมิวนิสต์หนีตามเจียงไปตั้งหลักที่เกาะไต้หวันจำนวนมากกว่า 1 ล้าน 5 แสนคน เพื่อรอวันมายึดแผ่นดินใหญ่คืน
เมนูนำทาง
สาธารณรัฐจีน (ค.ศ. 1912–1949) ประวัติศาสตร์ใกล้เคียง
สาธารณรัฐจีน สาธารณรัฐจีน (ค.ศ. 1912–1949) สาธารณรัฐจีนในโอลิมปิก สาธารณรัฐจีนในโอลิมปิกฤดูร้อน 1936 สาธารณรัฐจีนในโอลิมปิกฤดูร้อน 1964 สาธารณรัฐจีนในโอลิมปิกฤดูร้อน 1972 สาธารณรัฐจีนในโอลิมปิกฤดูร้อน 1968 สาธารณรัฐจีนในโอลิมปิกฤดูร้อน 1960 สาธารณรัฐจีนในโอลิมปิกฤดูร้อน 1948 สาธารณรัฐจีนในโอลิมปิกฤดูร้อน 1956แหล่งที่มา
WikiPedia: สาธารณรัฐจีน (ค.ศ. 1912–1949) http://www.genchugakkai.com/archive/meeting/taikai... http://guoxue.hxlsw.com/book/mgzzs/2007/0601/17804... http://www.populstat.info/Asia/chinac.htm http://www.gio.gov.tw/taiwan-website/5-gp/yearbook... http://news.bbc.co.uk/hi/english/static/in_depth/a... https://books.google.com/?id=RNknjDjfH6AC&pg=PA54 https://books.google.com/?id=WVEOAAAAQAAJ&pg=PA22 https://books.google.com/books?id=z-fAxn_9f8wC&pg=... https://history.state.gov/milestones/1899-1913/chi...